27/10/2568

A House of Dynamite: เมื่อ 19 นาทีสุดท้ายชี้ชะตาโลก และความเปราะบางของระบบนิวเคลียร์

 

ภาพยนตร์ระทึกขวัญทางการเมืองเรื่องใหม่จาก Netflix เรื่อง A House of Dynamite กำกับโดย Kathryn Bigelow ผู้กำกับที่ได้รับรางวัล Academy Award และเขียนบทโดย Noah Oppenheim อดีตประธาน NBC News ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามนับตั้งแต่เปิดตัวทั่วโลกเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2025 ภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างจากหนังฮอลลีวูดทั่วไป โดยมุ่งเน้นไปที่ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจริงและความไม่แน่นอนของระบบความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ เมื่อเผชิญกับวิกฤตนิวเคลียร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ภาพประกอบสร้างจาก AI

ภาพยนตร์เริ่มต้นขึ้นในเช้าวันทำงานธรรมดาๆ ที่ห้องสถานการณ์ทำเนียบขาว (White House Situation Room) ทันใดนั้น การแจ้งเตือนก็ดังขึ้น: มีขีปนาวุธนิวเคลียร์ข้ามทวีป (ICBM) ที่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มาได้อย่างชัดเจนถูกยิงจากมหาสมุทรแปซิฟิก มุ่งหน้าสู่เมืองใหญ่ทางตอนกลางของสหรัฐฯ คือ ชิคาโก เจ้าหน้าที่ถูกแจ้งว่ามีเวลาเพียง 19 นาที ก่อนที่ขีปนาวุธจะพุ่งชนเป้าหมาย นี่คือช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายที่จะกำหนดชะตาชีวิตของคนหลายล้านคน

ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอโครงสร้างที่น่าสนใจและเข้มข้นในรูปแบบของ "ภาพสามส่วน" (triptych) โดยเวลา 19 นาทีอันแสนตึงเครียดนี้ถูกเล่าซ้ำสามครั้งจากมุมมองที่แตกต่างกัน องค์แรกมุ่งเน้นไปที่ Captain Olivia Walker (Rebecca Ferguson) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในห้องสถานการณ์ทำเนียบขาว องค์ที่สองติดตาม Jake Baerington (Gabriel Basso) รองที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ และองค์สุดท้ายเปิดเผยสิ่งที่ประธานาธิบดี (นำแสดงโดย Idris Elba) เผชิญอยู่ แม้ว่าโครงสร้างการเล่าเรื่องที่ซ้ำไปซ้ำมานี้จะถูกวิจารณ์ว่าทำให้ความตึงเครียดลดลงในองค์หลังๆ แต่ก็เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการทำความเข้าใจการตัดสินใจที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันภายใต้ข้อมูลที่จำกัด

ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ยืนยันว่าสถานการณ์ที่ปรากฏในภาพยนตร์นั้น "น่าตกใจและสมจริง" และช่วงเวลา 18-19 นาทีนั้นสอดคล้องกับความเป็นจริงที่ขีปนาวุธข้ามทวีปสามารถโจมตีเป้าหมายได้ภายในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ความพยายามเดียวของสหรัฐฯ ในการป้องกันขีปนาวุธคือระบบ Ground-Based Midcourse Defense (GMD) ซึ่งปรากฏว่าล้มเหลว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (Secretary of Defense) ได้กล่าวถึงระบบนี้อย่างน่าสะพรึงกลัวว่าเป็น "การโยนเหรียญมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์" ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเห็นด้วยว่าอัตราความสำเร็จของระบบนี้ภายใต้เงื่อนไขการทดสอบอยู่ที่ประมาณ 55-60 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

ภาพประกอบสร้างจาก AI


หัวใจสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการสำรวจความเปราะบางของมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังระบบอำนาจอันยิ่งใหญ่ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคนเดียวที่มีอำนาจในการตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียร์ ถูกนำเสนออย่างมีมิติ ไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ แต่เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องเผชิญกับทางเลือกที่เป็นไปไม่ได้ ตัวละครต่าง ๆ พยายามรักษาสติไว้ตามการฝึกฝน แต่ก็เผยให้เห็นปฏิกิริยาของมนุษย์ เช่น ความหวาดกลัว การติดต่อครอบครัว (แม้จะเป็นการละเมิดกฎความปลอดภัย) และการภาวนา

ภาพประกอบสร้างจาก AI

ชื่อภาพยนตร์ว่า A House of Dynamite สื่อถึงสารหลักของหนังได้อย่างชัดเจน ประธานาธิบดีในเรื่องได้พูดถึงวลีจากพอดแคสต์ที่ว่า "เหมือนกับว่าเราทุกคนได้สร้างบ้านที่เต็มไปด้วยไดนาไมต์... และกำแพงก็พร้อมที่จะระเบิด" ซึ่งหมายถึงการสะสมอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศมหาอำนาจได้เปลี่ยนโลกให้เป็น "บ้านไดนาไมต์" ที่พร้อมจะถูกทำลายด้วยประกายไฟเพียงจุดเดียว

จุดจบของภาพยนตร์ถูกออกแบบมาอย่างจงใจให้เป็น ปลายเปิด (cliffhanger) โดยไม่เฉลยว่าประธานาธิบดีได้สั่งตอบโต้ด้วยนิวเคลียร์หรือไม่ หรือเกิดอะไรขึ้นกับชิคาโก Noah Oppenheim อธิบายว่า เขาและ Kathryn Bigelow ต้องการให้ผู้ชม "ยังคงคาใจ" และไม่รู้สึกว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว การจบแบบนี้กระตุ้นให้ผู้ชมต้องคิดถึงความรับผิดชอบเชิงจริยธรรมและการเมืองในโลกแห่งความเป็นจริงต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

A House of Dynamite: เมื่อ 19 นาทีสุดท้ายชี้ชะตาโลก และความเปราะบางของระบบนิวเคลียร์

  ภาพยนตร์ระทึกขวัญทางการเมืองเรื่องใหม่จาก Netflix เรื่อง A House of Dynamite กำกับโดย Kathryn Bigelow ผู้กำกับที่ได้รับรางวัล Academy Aw...