“Alien: Earth”: การสำรวจบทบาทของมนุษย์และความสยองขวัญในจักรวาลอันกว้างใหญ่ (จากมุมมองของแฟนตัวยง)
ในฐานะแฟนตัวยงของแฟรนไชส์ Alien มาอย่างยาวนาน
ความตื่นเต้นของผมที่มีต่อซีรีส์ใหม่ล่าสุดอย่าง Alien:
Earth นั้นอยู่ในระดับที่สูงมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีชื่อของ Noah Hawley มาเป็นผู้สร้างสรรค์
ซึ่งเขามีผลงานอันโดดเด่นอย่าง Fargo และ Legion ความสำเร็จที่ผ่านมาของ Hawley ทำให้เกิดความคาดหวังว่าเขาจะนำเสนอซีรีส์ที่ขยายการสำรวจความเป็นมนุษย์ในแฟรนไชส์ได้อย่างเชี่ยวชาญ และคำกล่าวที่ว่า
"มันคือ Andor ของ Alien"
ยิ่งทำให้ความตื่นเต้นพุ่งสูงขึ้นไปอีก เพราะ Andor ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับซีรีส์ไซไฟคุณภาพเยี่ยม
การเริ่มต้นใหม่บนโลก:
จุดยืนที่ท้าทายของซีรีส์
Alien: Earth นำเสนอเรื่องราวที่เป็น Prequel หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนภาพยนตร์ Alien ภาคแรกในปี 1979
โดยซีรีส์เรื่องนี้มีฉากหลังอยู่ในปี
2120 เพียงสองปีก่อนที่
Ripley และลูกเรือของยาน
Nostromo จะเผชิญหน้ากับ
Xenomorph บน LV-426
การตัดสินใจนำ Xenomorphs มายังโลกก่อนที่มนุษย์จะรู้จักพวกมันอย่างเป็นทางการในภาพยนตร์ภาคแรกนี้
ได้สร้างคำถามและความกังวลมากมายในหมู่แฟนๆ ว่าซีรีส์จะสามารถอธิบายความไม่สอดคล้องทางประวัติศาสตร์นี้ได้อย่างไร
โดยไม่ทำลาย Canon หรือเนื้อเรื่องหลักที่แฟนๆ
คุ้นเคย
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อยานอวกาศ Maginot ของ Weyland-Yutani
ประสบอุบัติเหตุตกบนโลก
หลังจากภารกิจสำรวจอวกาศ 65 ปี
พร้อมกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวอันตรายหลายชนิด รวมถึง Facehugger การตกของยานเกิดขึ้นในเขตอิทธิพลของ Prodigy
Corporation หนึ่งในห้าบริษัทใหญ่ที่ควบคุมโลกและระบบสุริยะ ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ในการแย่งชิงสิ่งมีชีวิตต่างดาว ในขณะเดียวกัน Prodigy
Corporation กำลังดำเนินโครงการ
"Hybrid" อันทะเยอทะยาน
โดยการถ่ายโอนจิตสำนึกของมนุษย์ที่เป็นโรคระยะสุดท้ายเข้าสู่ร่าง Synthetic
ที่เป็นผู้ใหญ่
เพื่อแสวงหาความเป็นอมตะ ตัวละครหลักคือ Wendy ซึ่งเป็น Hybrid คนแรก ที่มีจิตสำนึกของ Marcy เด็กหญิงอายุ 11 ขวบ Wendy พร้อมด้วย Hybrids คนอื่นๆ ที่ยังคงมีจิตใจเหมือนเด็ก
ถูกส่งเข้าไปในพื้นที่ภัยพิบัติเพื่อภารกิจ "ค้นหาและกู้ภัย" ซึ่งเป็นอีกจุดที่แฟนๆ
หลายคนตั้งคำถามถึงความสมเหตุสมผลและความอันตราย
ภาพที่ 1:
การปะทะกันของเทคโนโลยีและสิ่งมีชีวิตต่างดาว
Xenomorph โฉมใหม่:
ความงามอันน่าสะพรึงกลัวที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์
สิ่งหนึ่งที่แฟนๆ
มักให้ความสำคัญอย่างมากคือ การออกแบบของ Xenomorph และ Alien: Earth
ก็ไม่ได้หลุดพ้นจากการตรวจสอบนี้
Xenomorph ในซีรีส์นี้ถูกอธิบายว่า
"เร็วกว่า แข็งแกร่งกว่า ฉลาดกว่า และก้าวร้าวมาก"
กว่าที่เคยเห็นในภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม แฟนๆ
หลายคนมีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการออกแบบของมัน บางคนรู้สึกว่า Xenomorph
ใน Alien:
Earth ดู
"เป็นพลาสติก" "แห้งเกินไป"
ไม่เหมือนกับความมันวาวและเมือกที่เคยเห็นในภาพยนตร์ต้นฉบับ บางคนถึงกับเปรียบเทียบว่ามันดูเหมือน
"ของเล่น" หรือ "ถังป๊อปคอร์น" หรือแม้กระทั่ง "AI สร้างขึ้นมา"
ในขณะที่บางคนชื่นชมใน
"ฟันที่น่ากลัว" และ "การออกแบบหัว" แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่ามัน
"ดูสะอาดเกินไป" และ "ขาดลักษณะ Biomechanical" ที่ H.R. Giger ศิลปินผู้ออกแบบ Xenomorph ต้นฉบับได้สร้างไว้ นอกจากนี้ แฟนๆ ยังวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของ Xenomorph
ในซีรีส์ว่าดูไม่สอดคล้องกัน
โดยบางครั้งมันสังหารผู้คนจำนวนมากในพริบตา แต่กลับ "เล่นงาน" หรือ
"พลาดเป้าหมายโดยตั้งใจ" เมื่อเผชิญหน้ากับตัวละครหลัก
ซึ่งทำให้รู้สึกถึง Plot Armor ที่ชัดเจน ซึ่งลดทอนความตึงเครียดและอันตรายของสัตว์ประหลาดลง
ภาพที่ 2:
Xenomorph ในการออกแบบที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน
การสำรวจความเป็นมนุษย์และ
Corporate Dystopia
แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับ
Xenomorph และพล็อตเรื่อง
แต่ Alien: Earth ก็ยังคงรักษาจุดแข็งของแฟรนไชส์ในการสำรวจประเด็นทางปรัชญา ซีรีส์นี้เจาะลึกแนวคิดเรื่อง "ความเป็นอมตะของมนุษยชาติ" ผ่านการพัฒนา Cyborgs,
Synthetics และ Hybrids
นอกจากนี้ยังนำเสนอภาพของ Corporate Dystopia ที่บริษัทยักษ์ใหญ่ควบคุมโลกและชีวิตของผู้คน ซึ่งเป็นธีมที่ปรากฏอยู่ในแฟรนไชส์ Alien มาตลอด การต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่าง
Weyland-Yutani และ Prodigy
Corporation ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่น่าสนใจ
ตัวละครอย่าง Boy Kavalier (Samuel Blenkin) ซีอีโออัจฉริยะแต่เห็นแก่ตัวของ Prodigy และ Kirsh
(Timothy Olyphant) นักวิทยาศาสตร์
Synthetic ที่ปรึกษาของ Wendy
ก็ได้รับการกล่าวถึงในแง่ดี
โดยเฉพาะบทบาทของ Olyphant ที่แม้จะได้รับคำวิจารณ์เกี่ยวกับซีรีส์
แต่ก็ยังคงได้รับคำชื่นชมในการแสดง ซีรีส์ยังใช้ "Peter Pan motif"
อย่างชัดเจน โดยตั้งชื่อตัวละคร Hybrids
ว่า "The Lost
Boys" และตัวละครหลักอย่าง
Marcy เปลี่ยนชื่อเป็น
"Wendy" พร้อมกับฉากภาพยนตร์ Peter Pan ที่ปรากฏบ่อยครั้ง ซึ่งบางคนมองว่าเป็นความพยายามที่
"ตรงไปตรงมาเกินไป" หรือ "เป็นการตลาดของ Disney" แต่บางคนก็เห็นว่ามันสะท้อนถึงการแสวงหาความเป็นอมตะและการไม่ยอมโตเป็นผู้ใหญ่.
ภาพที่ 3:
ความทะเยอทะยานของมนุษยชาติในการแสวงหาความเป็นอมตะ
เสียงแตกจากแฟนๆ
และบทสรุปของความคาดหวัง
Alien: Earth เปิดตัวด้วยคะแนนจากนักวิจารณ์ที่ค่อนข้างสูง
โดยได้รับ 95% บน Rotten
Tomatoes และ 85/100
บน Metacritic ซึ่งบ่งชี้ถึง "Universal
acclaim" หรือคำชื่นชมอย่างกว้างขวาง นักวิจารณ์บางคนถึงกับยกย่องว่าซีรีส์นี้
"ทะเยอทะยานอย่างน่าสนใจ และท้ายที่สุดก็น่าตื่นเต้น" และ
"เชื่อมโยงความลึกซึ้งทางปรัชญาที่แฟนๆ ของ Prometheus
ชื่นชอบเข้ากับการกระทำที่เข้มข้นและภาพที่น่าสะพรึงกลัวของ Aliens ได้อย่างน่าอัศจรรย์" อย่างไรก็ตาม
คะแนนจากผู้ชมบน Rotten Tomatoes กลับอยู่ที่
79% ซึ่งเผยให้เห็นถึง ความแตกต่างระหว่างนักวิจารณ์และแฟนๆ
แฟนๆ
หลายคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องจังหวะการเล่าเรื่องที่ช้าเกินไป การเขียนบทตัวละครที่ "น่ารำคาญ" หรือ
"ไม่มีมิติ" รวมถึงการตัดสินใจที่ "ไม่สมเหตุสมผล"
ของตัวละคร และการใช้ดนตรีประกอบแนว
Heavy Metal ในตอนจบของแต่ละตอน ซึ่ง Hawley
อธิบายว่าเป็นการสร้างบรรยากาศแบบ
"Arena show" แต่แฟนๆ
บางคนกลับมองว่ามัน "ไม่เข้ากับโทน" ของซีรีส์
โดยส่วนตัวแล้ว
แม้จะมีความกังวลและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่หลากหลาย Alien:
Earth ก็ยังคงเป็นซีรีส์ที่ผมตั้งใจจะติดตามต่อไป เพราะในฐานะแฟนตัวยง
ผมยังคงหวังว่าซีรีส์จะสามารถตอบคำถามที่ค้างคาใจ
และนำเสนอเรื่องราวที่สดใหม่และน่าสนใจในจักรวาล Alien
ได้อย่างที่มันควรจะเป็น
แม้ว่ามันจะเป็น "Frankenstein's monster ของปรัชญาอัตถิภาวนิยมและเอเลี่ยนที่ฉีกร่างผู้คนเป็นชิ้นๆ"
ดังที่นักวิจารณ์บางคนกล่าวไว้
อ้างอิงจากแหล่งที่มา:
• "'Alien: Earth' Review: Noah Hawley's TV Spinoff
Masterfully Expands Franchise's Exploration of Humanity : r/television -
Reddit"
• "Alien: Earth - Wikipedia"
• "Alien: Earth RT Audience Score Exposes Fan-Critic
Divide"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น