จรวด Starship ของ SpaceX เที่ยวบินที่ 10 ถือเป็นก้าวสำคัญในอุตสาหกรรมอวกาศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างมากในการพัฒนายานปล่อยจรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ทั้งหมด Starship ซึ่งมีความสูง 123 เมตร (403 ฟุต) เป็น จรวดที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา และเป็นหัวใจสำคัญของวิสัยทัศน์ของ Elon Musk ในการนำพามนุษยชาติไปยังดาวอังคาร รวมถึงแผนการของ NASA ที่จะส่งนักบินอวกาศกลับสู่ดวงจันทร์ เที่ยวบินล่าสุดนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากหลังจากเผชิญกับความล้มเหลวหลายครั้งในอดีต
เที่ยวบินทดสอบครั้งที่ 10 นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2025 ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์หลักทุกประการ การยกตัวขึ้นของ Super Heavy เป็นไปอย่างราบรื่น โดยจุดระเบิดเครื่องยนต์ Raptor ทั้ง 33 เครื่อง ตามมาด้วยการแยกขั้นแบบ hot-staging และ Super Heavy ได้ลงจอดอย่างนุ่มนวลในอ่าวมิสซิสซิปปี Starship ยังได้ทำการปล่อยดาวเทียมจำลอง Starlink 8 ดวงเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นความสำเร็จที่สำคัญ นอกจากนี้ยังมีการจุดระเบิดเครื่องยนต์ Raptor ในอวกาศเป็นครั้งที่สอง
แม้จะมีชิ้นส่วนแผ่นกันความร้อนบางส่วนหลุดออกและปีกเสียหายเล็กน้อยระหว่างการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ แต่ SpaceX ระบุว่านี่เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากยานถูกทดสอบในวิถีการบินที่รุนแรงเพื่อผลักดันขีดจำกัดของยานโดยเจตนา อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าเกิดการระเบิดเล็กน้อยในส่วนเครื่องยนต์ระหว่างการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งทำให้ส่วนท้ายของ Starship เสียหาย แต่ยานก็ยังคงสามารถลงจอดได้อย่างแม่นยำในมหาสมุทรอินเดียตามแผน
ความสำเร็จของ Starship ตอกย้ำปรัชญา "ล้มเร็ว เรียนรู้เร็ว" ของ SpaceX ซึ่งทำให้บริษัทเป็นผู้นำในการปล่อยจรวด Starship คาดว่าจะลดต้นทุนการปล่อยจรวดได้ 80-90% เมื่อเทียบกับระบบเดิม ทำให้การปรับใช้ดาวเทียมขนาดใหญ่และภารกิจอวกาศลึกเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ ตลาด Reusable Launch Vehicle (RLV) ทั่วโลก ซึ่ง SpaceX ครองส่วนแบ่ง 60% คาดการณ์ว่าจะเติบโตจาก 4.77 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 เป็น 10.56 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2032 Starship ยังเป็นกุญแจสำคัญในการปรับใช้ดาวเทียม Starlink ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัท
สำหรับ NASA การพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์เพื่อให้บริการด้านอวกาศ เช่น ระบบลงจอดบนดวงจันทร์ (HLS) สำหรับโครงการ Artemis นั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ความร่วมมือเหล่านี้มาพร้อมกับความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างความเร็วในการพัฒนากับความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ ปัญหาทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับ Starship HLS ของ SpaceX ได้ทำให้ภารกิจ Artemis III เลื่อนออกไปจนถึงเดือนกันยายน 2026 เพื่อลดความเสี่ยง SpaceX ต้องทำการทดสอบเที่ยวบินหลายครั้งและสาธิตการถ่ายโอนเชื้อเพลิงในวงโคจร NASA ใช้แนวทาง "insight and oversight" เพื่อรับทราบข้อมูลและรับรองความปลอดภัย
การพัฒนาแผ่นกันความร้อนสำหรับวงโคจรที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ทั้งหมดเป็นงานที่ยากที่สุด และการเติมเชื้อเพลิงในวงโคจรด้วยเชื้อเพลิงที่เย็นจัดก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญแต่ยังไม่ได้ทดสอบสำหรับภารกิจอวกาศห้วงลึก อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในเที่ยวบินที่ 10 ถือเป็นก้าวสำคัญที่ปูทางไปสู่เศรษฐกิจอวกาศมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2040 การลงทุนในห่วงโซ่คุณค่าของอวกาศ ซึ่งรวมถึงผู้ให้บริการปล่อยจรวด ผู้ประกอบการดาวเทียม และโครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดิน จะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน
Starship ของ SpaceX เป็นมากกว่าจรวด แต่เป็นประตูสู่พรมแดนทางเศรษฐกิจใหม่ที่ลดต้นทุนการเข้าถึงอวกาศ ทำให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย ทศวรรษหน้าจะเห็นการเพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจนอกโลกอย่างแท้จริง และผู้ที่ลงทุนในรากฐานของมันในวันนี้จะได้รับผลตอบแทนในอีกหลายปีข้างหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น