คุณอาจเคยสังเกตว่าอินเทอร์เน็ตช้าลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2025 โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณอยู่ในตะวันออกกลาง เอเชีย หรืออินเดีย ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือปัญหาเล็กน้อย แต่เป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดจากการที่สายเคเบิลใต้น้ำหลายเส้นในทะเลแดงถูกตัด เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความสงสัยว่าเกิดจากอุบัติเหตุหรือเป็นฝีมือของผู้ไม่หวังดีกันแน่
เกิดอะไรขึ้น?
ในเช้าวันที่ 6
กันยายน เมื่อเวลาประมาณ 05:45
UTC สายเคเบิลใต้น้ำหลายเส้นที่เชื่อมต่อยุโรป
ตะวันออกกลาง และเอเชียเข้าด้วยกันถูกตัด สายเคเบิลเหล่านี้รวมถึง SMW4, IMEWE และ FALCON การถูกตัดครั้งนี้ส่งผลให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในปากีสถาน,
อินเดีย, และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ต้องเผชิญกับความเร็วที่ลดลงอย่างมาก ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมอย่าง
Etisalat และ Du ใน UAE ก็ได้รับเรื่องร้องเรียนจากลูกค้ามากมาย แม้แต่แพลตฟอร์มคลาวด์ขนาดใหญ่อย่าง
Microsoft Azure ก็รายงานว่าผู้ใช้บางส่วนพบปัญหาความล่าช้าของเครือข่าย
สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือเหตุการณ์นี้ไม่ได้ทำให้โลก
'ออฟไลน์'
โดยสิ้นเชิง
เนื่องจากอินเทอร์เน็ตถูกออกแบบมาให้มีการเชื่อมต่อสำรองเพื่อรับมือกับเหตุการณ์แบบนี้ได้ อย่างไรก็ตาม
การจราจรบนโลกออนไลน์ถูกบังคับให้เปลี่ยนเส้นทางไปตามเส้นทางที่ไกลออกไปและมีประสิทธิภาพน้อยลง
ซึ่งทำให้เกิดปัญหา "ความหน่วง" หรือ "แล็ก" ซึ่งปัญหาเหล่านี้กระทบกับผู้ที่ใช้งานบริการที่ต้องอาศัยความเร็วสูง
เช่น การเทรดหุ้น หรือบริการคลาวด์
ใครอยู่เบื้องหลัง?
สาเหตุที่แท้จริงของการถูกตัดสายเคเบิลยังคงไม่ชัดเจน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนกำลังโจมตีเรือขนส่งในทะเลแดงเพื่อกดดันอิสราเอลให้ยุติสงครามในฉนวนกาซา แม้ว่าข่าวลือจะชี้ไปที่กลุ่มฮูตี
แต่พวกเขาก็เคยปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้โจมตีสายเคเบิลมาก่อน
นอกจากนี้
ยังมีความเป็นไปได้ที่อาจเป็นอุบัติเหตุ เช่น
สมอเรือที่ถูกทิ้งลงไปอาจไปเกี่ยวและตัดสายเคเบิลโดยไม่ตั้งใจ
ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต การขาดความชัดเจนนี้ทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนและเน้นย้ำว่าโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญของโลกนั้นเปราะบางเพียงใด
ทำไมถึงเป็นเรื่องใหญ่?
ทะเลแดงเปรียบเสมือนถนนหลวงสายหลักของโลกดิจิทัล ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญที่ใช้ส่งข้อมูลระหว่างยุโรป
แอฟริกา และเอเชีย การหยุดชะงักเพียงเล็กน้อยในจุดนี้สามารถส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจโลกได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อศูนย์กลางทางการเงินที่ต้องพึ่งพาการส่งข้อมูลที่รวดเร็ว
การซ่อมแซมสายเคเบิลเหล่านี้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉลี่ยแล้วอาจต้องใช้เงินถึง
1-3 ล้านดอลลาร์สหรัฐและอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนจึงจะซ่อมแซมเสร็จ
เหตุการณ์นี้ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจน ว่าเราไม่สามารถพึ่งพาเส้นทางหลักเพียงไม่กี่เส้นทางได้อีกต่อไป และต้องลงทุนในการสร้างเส้นทางสำรองใหม่ๆ
บนบก และปรับปรุงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อปกป้องโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของโลกใบนี้

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น